ถ้าพูดถึงพล็อตหนังอันว่าด้วย ตำรวจหรือสายลับ ที่ทำเนียนปลอมตัวเข้าไปในองค์กรต่างๆ เพื่อสืบคดี ก็จะมีให้เห็นมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ หรือแม้กระทั่งลามปามมายังละครด้วยประโยคคุ้นหูทำนองที่ว่า “ผม ร้อยตำรวจเอกศักดิ์ชัย ปลอมตัวมา” อะไรประมาณนั้น จนคนดูแทบร้องยี้ หากมีหนังเรื่องไหนจะเล่าเรื่องซ้ำๆนี้อีก แต่ใน 22 Jumb Street ซึ่งก็เป็นเรื่องของสายลับทำเป็นเนียนนี้เช่นกัน แต่คุณผู้ชมไม่ต้องคอยลุ้นเลยว่า พ่อ 2 พระเอกต่างขั้วของเรา จะแฝงตัวอยู่เงียบๆ และปกปิดตัวตนไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เพราะมันสุดเอะอะมะเทิ่งมาตั้งแต่เริ่มเรื่องเลย
22 Jumb Street คือหนังภาคต่อจาก 21 Jumb Street ที่คราวก่อนแฝงตัวเข้าไปในโรงเรียน แต่ครั้งนี้ 2 ตำรวจคู่แสบ เชนโก้ และชมิดท์ ทั้งที่อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยแล้ว แต่ก็ต้องทำภารกิจแฝงตัวไปเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ที่อุดมไปด้วยวัยรุ่นเสเพล ปาร์ตี้เสพยา และการศึกษาจริงจังหน้าดำคร่ำเคร่ง เพื่อสืบหาและยับยั้งต้นตอยาเสพติด และเป็นอีกหนึ่งบททดสอบมิตรภาพระหว่างเขาทั้งสอง ท่ามกลางสังคมย้อนวัย และสถานการณ์บีบบังคับ
ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนังภาคต่อ ที่คนดูมักจะคาดหวังอะไรใหม่ๆ ที่ต่อยอดเรื่องราวจากภาคเดิม ก็ขอแสดงความเสียใจด้วยเบาๆ เพราะในหนังสายลับโคตรเกรีนนเรื่องนี้ ยังใช้พล็อตเดิมๆ และความวุ่นวายในรูปแบบเดิมๆ แค่เพียงเปลี่ยนฉากหลังจากโรงเรียนเป็นมหาวิทยาลัยเท่านั้น หากใครย้อนไปดูภาคแรกจบวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ไปดูภาค 2 เลย ก็คงได้อารมณ์เหมือนกินข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวซ้ำกันสองมื้อ เพียงแต่มื้อหลังสั่งพิเศษ เพราะมันยกระดับความเยอะ เละตุ้มเป๊ะ และสเกลของความปั่นป่วนให้ใหญ่ขึ้น แถมยังไม่วายหันกลับมาแขวะ จิกกัดตัวเองและขนบหนังภาคต่อ ที่ต้องทุ่มงบมากขึ้น ใหญ่โตมโหฬารมากขึ้น ทั้งที่ยังไม่รู้ผลลัพธ์เสียด้วยซ้ำว่าหนังออกมาจะฮิตระเบิดเจ๊งสนิท ก็เหมือนภารกิจแฝงตัวครั้งนี้ ที่ยังไม่รู้ชะตากรรมในตอนสุดท้าย รู้แค่ว่า เออ..ในภาคแรกพวกนายทำดี ภาคนี้เฮียเลยอัดฉีดให้ไปทำต่อ แค่นั้นเอง
สิ่งที่อัดแน่นอยู่ใน 22 Jumb Street ไม่ใช่ฉากแอ็คชั่น หรือสืบสวนสอบสวนสุดลุ้นระทึกตามขนบหนังสายลับทั่วไป แต่หนังจะพาเราไปติดตามชีวิตของ 2 สายลับ ที่ต้องไปตกอยู่ในสถานการณ์วายป่วง และเอาตัวรอดแบบทุเรศทุรัง มากกว่าความเป็นความตายซีเรียสจริงจัง และมุ่งเน้นไปทางมุขตลก ที่มีจังหวะเมื่อไหร่ก็เล่นซะ น้อยบ้างมากบ้างว่ากันไป กลับเรียกเสียงหัวเราะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยตลกสถานการณ์ (บางครั้งหนักไปทางเจ็บตัว!) มากกว่าจ้องจะพ่นมุขเก่าๆงงๆ ออกมาจากปาก ซึ่งบางครั้งมันก็อาจติดทะลึ่งตึงตังไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับหยาบโลนน่าเกลียด ผู้ใหญ่ควรให้คำแนะนำแก่เยาวชนแค่นิดๆหน่อยๆ ก็พอ
เป็นอันรู้กันตั้งแต่ 20 นาทีแรก ว่ามันหาเนื้อหาสาระอะไรในหนังไม่ค่อยจะได้อยู่แล้ว ประเด็นที่พอจับต้องได้บ้าง คือ การเรียนรู้และเติบโตของชีวิต ถึงอายุของ 2 ตำรวจจะเลยวัยรุ่นมานานโข แต่การได้กลับไปในรั่วมหาวิทยาลัย ที่อุดมไปด้วยมนุษย์ที่กำลังก้าวผ่านวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ก็ได้ทำให้ทั้งสอง ได้อะไรมากกว่าการทำเป็นเนียน จากการตกอยู่ในทีที่ไม่ใช่ของตัวเอง การถูกทอดทิ้งและละเลยความสำคัญ อีกทั้งยังเป็นเสมือนการเอาคืนในด้านบทบาท เมื่อภาคแรก เจนโก้ ถูกมองว่าเป็นไอ้โง่ บ้าพลัง และในภาคสอง ชมิดท์ ก็ถูกกีดกันและตราหน้าว่าเป็น ไอ้ง่าว อ่อนด้อยฝีมือ เช่นกัน ซึ่งมันช่วยแสดงถึงช่องว่างของคำว่า มิตรภาพ และการยอมรับความเหมือนและต่างของกันและกัน และสุดท้ายแล้วไม่ว่ายังไง ช่องว่างนั้นก็ถูกเติมเต็ม จนทำให้มิตรภาพที่ดูเปราะบาง แข็งแกร่งขึ้นมาได้อีกครั้ง
แน่นอนว่า ชมิดม์ และ เจนโก้ อาจไม่ได้ทำหน้าที่สายลับที่ดีนัก แต่ในฐานะผู้ให้ความบันเทิงแก่คนดูแล้ว ถือว่าจ้าง 10 พี่แกเล่น 100 อย่างไม่น่าผิดหวัง และมันก็ทำให้คนดูลืมไปเลยเสียด้วยซ้ำ ว่าทั้งสองกำลังทำหน้าที่ระดับใหญ่โตแค่ไหนอยู่ เหลือเพียงแค่การเฝ้ารอคอยว่าจะพบความวายป่วงอะไรต่อไปมากกว่า จนอยากบอกทั้งสองตำรวจชวนขำนี้ว่า พวกนายปล่อยความฮาได้เต็มที่ แต่ภารกิจที่มีน่ะ เฮ้ย! อย่ามาเนียนเลยดีกว่า