Alex Cross เป็นเรื่องราวของ อเล็ก ครอส ตำรวจนักสืบดีทรอยต์ ที่ทำคดีสุดท้ายก่อนย้ายไปอยู่กับเอฟบีไอ เขาและเพื่อนสนิทที่เป็นคู่หูของเขา ทอมมี่ (เอ็ดเวิร์ด เบิร์นส) และ โมนิก้า (ราเชล นิโคลส์) ไล่ล่าฆาตการต่อเนื่องที่เรียกตัวเองว่า ปิกัสโซ่ เดอะ บุชเชอร์ (แมทธิว ฟ็อกซ์) แต่เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ตัว ปิกัสโซ่ ก็กลับกลายเป็นว่าคนใกล้ตัวต้องเป็นเป้าหมายซะเอง ครอส ต้องพยายามเข้าไปในสมองของฆาตกรโรคจิตรายนี้ เพื่อให้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่เขาจะทำต่อไป และหยุดยั้งก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ซึ่งนั่นอาจจะไม่ได้ทำให้พวกเขาอันตรายแค่กลุ่มเดียว แต่มันอาจจะส่งผลต่อคนทั้งเมือง รวมทั้งคนในครอบครัวของพวกเขาเอง
Alex Cross กำกับการแสดงโดย ร็อบ โคเอน ที่อย่างที่บอกไปแล้วว่าหนังสร้างมาจากนิยายขายดีของ เจมส์ แพ็ทเทอร์สัน ที่มีเขียนออกมาทั้งหมดอยู่ 12 เล่มด้วยกัน ซึ่งในฉบับหนังเวอร์ชั่นนี้ เป็นการหยิบมาจากตอนที่ 12 ในชื่อ Cross โดยที่ก่อนหน้านั้นนิยายชุด อเล็กซ์ ครอส ก็เคยถูกดัดแปลงมาแล้วในตอน Kiss the Girls และ Along Came a Spider ที่ในฉบับนั้นได้ มอร์แกน ฟรีแมน มารับบทเป็น ดร.ครอส ส่วนในฉบับใหม่นี่หนังได้ ไทเลอร์ เพอร์รี่ ดาราผิวสีที่คนไทยคงจะไม่ค่อยคุ้นหน้ากันนัก เพราะหนังส่วนใหญ่ที่เขาเล่นจะเป็นพวกหนังตระกูล Madea ที่เขาต้องลุกมาแต่งหญิงและเต็มไปด้วยเรื่องของอเมริกัน จนทำให้หนังอดเข้าฉายไทยตลอดทั้งชุด ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็ไม่ใช่คนที่ชื่นชอบผลงานของผู้กำกับ ร็อบ โคเอ็น มากเท่าไหร่นัก ไม่ว่าจะเป็น The Fast and the Furious
เพราะนั่นคงเป็นเพราะคิวบู๊ของผู้กำกับในเรื่องที่กล่าวมา อาจจะไม่ใช่สไตล์ผมก็เป็นได้ แต่นั้นดูเหมือนว่าจะไม่ใช่กับ Alex Cross ที่โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่า สิ่งที่เป็นข้อดีที่สุดของเรื่องนี้ นั่นคือจุดขายของหนังอย่าง ฉากแอ็คชั่น นั่นเอง ที่ถึงแม้ว่าคิวบู๊อาจจะดูไม่สดใหม่ และ อาจจะมีแต่ฉากที่เราเคยเห็นมาในหนังหลายๆเรื่องแล้วก็ตาม แต่เพราะจังหวะของผู้กำกับ ร็อบ โคเอน ในการใส่ฉากแอ็คชั่น และลีลาการเฉือนเฉือดกันของ 2 นักแสดงนำอย่าง ไทเลอร์ เพอร์รี่ และ แมธธิว ฟอกซ์ โดยเฉพาะการที่ถึงแม้ตัวหนังจะเปิดเผยตัวร้ายของเรื่องอย่าง แม็ทธิว ฟอกซ์ ออกมาตั้งแต่ต้นเรื่อง ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องเสียหาย หรือทำให้คนดูหมดสนุกไป
เพราะตัวเรื่องหลักของ Alex Cross กลับไม่ได้เป็นการที่หนังเน้นให้คนดูเดาว่าคนไหนเป็นตัวร้าย หรือเน้นเรื่องราวการสืบสวนมากนัก แต่ส่วนหลักแล้วหนังให้ความสำคัญไปที่ ฉากแอ็คชั่น และ การเฉือดเฉือน ของ 2 นักแสดงนำเสียมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าถ้าหากผู้กำกับ ร็อบ โคเอ็น จะเจียดเวลามาให้ความสำคัญด้านของ ตัวบท และ ปมการสืบสวน ให้มากขึ้นกว่านี้ ตัวหนัง Alex Cross น่าจะเป็นหนังนักสืบที่ออกมาดูสนุกได้สมบูรณ์กว่านี้ เพราะดูเหมือนข้อเสียใหญ่ๆ และน่าจะเป็นข้อเสียแทบทุกเรื่อง ในหนังของผู้กำกับ ร็อบ โคเอ็น นั่นคงหนีไม่พ้นด้านของบทหนัง ที่ไม่ได้ว่าออกมาในรูปแบบ สุกเอาเผากิน แต่ตัวบทของผู้กำกับแทบทุกเรื่องจะออกมาค่อนข้างง่าย และขายฉากแอ็คชั่นเสียมากกว่า ซึ่งถ้าหากมันเป็นหนังอย่าง xXx ก็น่าจะไม่เป็นไร เพราะมันขายแอ็คชั่น
แต่ในเมื่อผู้กำกับมาหยิบ Alex Cross ผมกลับคิดว่าผู้กำกับน่าจะมองตัวหนังในมุมอื่นนอกจากฉากแอ็คชั่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของ รูปคดี ที่ออกมาง่ายซะจนไม่ต้องใช้บริการนักสืบ ครอส ก็เป็นได้ หรือแม้แต่ด้านของ ความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละคร ที่ออกมาค่อนข้างเบาบาง และแทบจะไม่เป็นรูปเป็นร่างเลยก็ว่าได้ ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็ไม่เคยอ่านนิยายต้นฉบับของตัวหนังชุดนี้มาก่อน แต่ผมคิดว่าใครที่เป็นแฟนของหนังสืออาจจะมีผิดหวังได้ เพราะความตื้นลึกหนาบาง ของตัว รูปคดี และ ตัวบท กลับออกมาค่อนข้างน่าผิดหวัง แต่สำหรับขาจร หวังดูแอ็คชั่นมันส์ เรื่องนี้ก็น่าจะตอบสนองคุณได้ และบันเทิงไม่แพ้กับ xXx เลย
โดยสรุปแล้ว Alex Cross จึงถือได้ว่าเป็นหนังที่ทำออกมาดูเอามันส์ และดูการเฉือดเฉือนกันของ 2 นักแสดงนำเสียมากกว่า จะมานั่งดูว่า นักสืบเทพ คนนี้ เขาจะสามารถไขคดีประเภทนี้ได้ตื่นเต้นขนาดไหน เพราะในด้านตัวบทนั่นต้องขอบอกว่าเป็นจุดด้อยใหญ่ๆ เพียงจุดเดียว ที่ผู้กำกับ ร็อบ โคเอ็น ก็ยังแก้ไม่หายนะ