เรื่องราวของ เอลลิสัน (อีธาน ฮอว์ค) นักเขียนนิยายฆาตกรรมที่สร้างจากเรื่องจริง ได้พบฟุตเทจวีดีโอหนึ่งที่เป็นหลักฐานการฆาตกรรมชิ้นเยี่ยม ที่เกิดขึ้นในบ้านหลังใหม่ของเขา เบาะแสจากวีดีโอ ทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมครอบครัวนี้ถึงได้ถูกฆ่ายกครัว และพวกเขาถูกฆ่าด้วยวิธีการอย่างไร นั่นก็เพื่อที่เขาจะได้นำเรื่องราวไปเขียนในนิยายเรื่องใหม่ แต่กลายเป็นว่าหลังจากการค้นพบวีดีโอนี้ เอลลิสัน และครอบครัวก็ตกไปอยู่ในวงจรความสยองขวัญนั้นซะเอง จนทำให้เขาต้องหาทางออกของเรื่องนี้ พร้อมทั้งต้องสืบสวนไปในตัวด้วยว่า อะไรที่กำลังจ้องเล่นงานเขา และทำให้ครอบครัวอีกหลายครอบครัวในวีดีโอต้องโดนสังหารหมู่
Sinsiter เป็นผลงานการกำกับของ สก๊อตต์ เดอร์ริคสัน ที่หลังจาก 2 เรื่องก่อนหน้านั้นของเขา หกล้มไม่เป็นท่า ในด้านของคำวิจารณ์ อย่าง The Exorcism of Emily Rose และ The Day the Earth Stood Still ฉบับรีเมค ก็ดูเหมือนผู้กำกับจะขอหันหลังกลับมาสู่หนังแนวถนัดของเขาอีกครั้ง กับหนังแนวสยองขวัญ ที่ใน Sinister เขาก็เป็นหนึ่งในมือเขียนบทของหนังเองด้วย ซึ่งเอาเป็นว่า ถ้าหากผมจะจัดให้ Sinister เป็นหนังลูกผสมของ The Woman in Black , ลัดดาแลนด์ และหนังแนวสืบสวนหลากเรื่อง ก็คงจะไม่แปลก เพราะหนังถือได้ว่ามีองค์ประกอบของ 2 เรื่องดังกล่าวอยู่มากพอสมควร และท้ายสุดก็ถือได้ว่าน่าแปลกใจที่หนังผสมผสานออกมาได้อย่างลงตัวอีกด้วย โดยต้องขอบอกเลยว่า เอาเข้าจริงๆนั่น Sinister มันไม่ใช่หนังผีตุ้งแช่ที่หลายคนต้องการดูในช่วงวันฮัลโลวีนแน่
แต่ที่จริงมันกลับเป็นหนังแนว สืบสวน ที่มีโทน และ บรรยากาศหลอนๆ ปนกับความดราม่าอีกนิดหน่อยตั้งหาก โดยสิ่งที่น่าชื่นชมในผลงานเรื่องใหม่ของผู้กำกับ เดอร์ริคสัน คือการที่เขาสามารถผสมเรื่องราวข้างต้นออกมาให้เป็นความลงตัวได้กำลังพอดี เพราะโดยรวมหนังไม่ได้เน้นหนักไปที่เรื่องใดเรื่องนึงโดยเฉพาะ แต่หนังได้กระจัดกระจายมันออกมาทีละนิดทีละหน่อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวการสืบสวนของตัวเอก ที่ตั้งคำถามมากมายให้คนดูสงสัยในช่วงต้นเรื่อง , บรรยากาศหลอนๆ ของบ้านผีสิงขนาดย่อม ที่ผสมผสานไปกับดนตรีประกอบของ คริสโตเฟอร์ ยัง และ เรื่องราวของ พ่อ ที่ต้องการดูแลครอบครัวได้อีกครั้ง
ที่ทั้งหมดทั้งมวลหนังสามารถไล่โทนระดับของหนังออกมาได้อย่างชัดเจน สลับไปกับฉากบรรยากาศกดดัน และทำเอาคนดูหายใจไม่ทั่วท้องเป็นระยะๆ พร้อมทั้งยังมีการพูดถึงเรื่องการทำงานของตำรวจ ที่มักจะสุกเอาเผากิน มองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆ พร้อมกับมุกผีตุ้งแช่ ที่ถึงแม้จะค่อนข้างซ้ำ แต่เพราะด้วยบรรยากาศที่หนังสร้างมาได้ค่อนข้างดีตั้งแต่ต้น จึงทำให้ Sinister ถึงแม้จะขาดแคลนผีตุ้งแช่ แบบหนังผีหลายเรื่อง แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้หนังสยองน้อยลงไปเลยสักนิด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมเห็นว่าจะเป็นข้อเสียหลักๆของหนังมันกลับอยู่ตรงที่ ตอนจบ ของหนัง ที่ส่วนนึงมันก็ออกจะเป็นตอนจบที่ค่อนข้างเป็นพื้นฐาน หรือเรียกได้ว่า จบแบบตามที่หนังดำเนินเรื่องมาตั้งแต่ต้น แต่อีกส่วนนึงที่ทำให้ค่อนข้างไม่ชอบตอนจบ มันคือการที่หนังจบแบบ มัดมือชก และ บทสรุปง่ายๆ
เพราะในเมื่อ Sinister ได้ปูเรื่องและโทนมาตั้งแต่ต้น ว่าหนังจะตั้งตัวเป็นหนังแนว สืบสวน-สยองขวัญ เพราะฉะนั้นในตอนจบของหนังแนว สืบสวน มันก็ควรจะมีอะไรที่พลิกไปจากที่คนดูคิดบ้างสักนิด โดยทางด้านการแสดงของ อีธาน ฮอว์ค ในบทของนักเขียน เอลลิสัน ถือว่าถ่ายทอดออกมาได้ดีกว่าตอนผลงานล่าแวมไพร์ใน Daybreakers โดยเฉพาะฉากที่ต้องถ่ายทอดอารมณ์ และ ปล่อยให้บรรยากาศ พาไป เพราะฉะนั้น Sinister มันจึงเปรียบเสมือนเป็นหนังที่พิสูจน์ให้คนดูเห็นแล้วว่า อีธาน ฮอค์ว ก็ถือว่าเป็นนักแสดงที่สามารถแบกรับอารมณ์และโทนของหนังไว้ทั้งเรื่องด้วยตัวของเขาเองได้ โดยที่ไม่ต้องมีนักแสดงมีชื่อมาอยู่ร่วม
โดยสรุปแล้ว Sinister มันจึงเป็นหนังที่ไม่ต่างอะไรกับ The Woman in Black ที่เพิ่งผ่านไปต้นปี โดยการที่มันเป็นหนังขาย บรรยากาศ หลอนๆ แต่ที่พิเศษหน่อยก็ตรงที่หนังมีการปนเรื่องราว สืบสวน และ ดราม่า ที่ถึงแม้จะตกม้าตายตอนจบที่มัดมือชก แต่กระนั้น โดยรวมตัวหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่ไม่น่าพลาดเลย